(https://img5.pic.in.th/file/secure-sv1/article177-dec25.jpg)
ในปัจจุบัน สังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ผู้หญิงให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานชีวิตและการศึกษามากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มการมีบุตรเมื่ออายุเกิน 35 ปีเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในทางการแพทย์จะนิยามการตั้งครรภ์ในช่วงอายุนี้ว่าเป็นการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง (High-Risk Pregnancy) แต่ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยใหม่ ความเสี่ยงเหล่านี้สามารถบริหารจัดการและลดระดับลงได้ด้วย "การตรวจคัดกรองอย่างเป็นระบบและตรงจุด" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยให้คุณแม่กลุ่มนี้สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างราบรื่นและคลอดบุตรที่มีสุขภาพแข็งแรง ความเสี่ยงประการแรกที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณแม่ที่มีอายุมากคือ "ภาวะโครโมโซมผิดปกติของทารก" โดยเฉพาะกลุ่มอาการดาวน์ (Down Syndrome) เนื่องจากเซลล์ไข่มีการเสื่อมสภาพตามวัย ทำให้กระบวนการแบ่งตัวของโครโมโซมมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้สูงขึ้น เทคโนโลยีการตรวจคัดกรองในปัจจุบันจึงเข้ามามีบทบาทอย่างมาก โดยเฉพาะการตรวจ NIPT pgt a (https://www.nggthailand.com/article/177/) ซึ่งเป็นการเจาะเลือดคุณแม่เพื่อวิเคราะห์เศษดีเอ็นเอของทารกที่ปนอยู่ในเลือดแม่ การตรวจวิธีนี้มีความแม่นยำสูงถึง 99% และที่สำคัญคือไม่มีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร แตกต่างจากการเจาะน้ำคร่ำแบบดั้งเดิม การทราบผลโครโมโซมตั้งแต่เนิ่นๆ ช่วยให้แพทย์และครอบครัวสามารถวางแผนการดูแลทารกได้อย่างเหมาะสมที่สุด
ประการต่อมาคือความเสี่ยงด้านสุขภาพของคุณแม่เอง การตั้งครรภ์เมื่ออายุมากมักมาพร้อมกับความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (GDM) และภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) การตรวจคัดกรองจึงไม่ใช่เพียงแค่การตรวจเลือดทั่วไป แต่รวมถึงการตรวจคัดกรองเบาหวานด้วยการดื่มน้ำตาล (GCT/OGTT) และการตรวจเช็กความดันโลหิตร่วมกับการอัลตราซาวด์ดูเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงมดลูกเพื่อประเมินความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ หากตรวจพบความเสี่ยงตั้งแต่ไตรมาสแรก แพทย์อาจพิจารณาให้ยาป้องกันหรือปรับสูตรโภชนาการเพื่อควบคุมอาการ ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ นอกจากนี้ การตรวจอัลตราซาวด์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (MFM) ยังเป็นกระบวนการคัดกรองที่ขาดไม่ได้ สำหรับคุณแม่ที่อายุมาก การอัลตราซาวด์อย่างละเอียดในไตรมาสที่สอง (Anatomy Scan) จะช่วยตรวจสอบโครงสร้างอวัยวะทุกส่วนของลูกน้อยอย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ หัวใจ ไปจนถึงปลายนิ้ว เพื่อยืนยันว่าไม่มีความพิการแต่กำเนิดหรือความผิดปกติทางโครงสร้างที่อาจเกิดขึ้นได้มากกว่าปกติในกลุ่มแม่ที่มีอายุมาก อย่างไรก็ตาม การตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพสูงสุดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณแม่ "รีบมาฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์" เพราะการตรวจบางประเภทมีข้อจำกัดด้านอายุครรภ์ หากเลยช่วงเวลาที่กำหนดไปอาจสูญเสียโอกาสในการประเมินความเสี่ยงที่สำคัญไปได้ การดูแลตัวเองควบคู่ไปกับการตรวจคัดกรอง เช่น การควบคุมน้ำหนัก การรับประทานกรดโฟลิก และการพักผ่อนที่เพียงพอ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของการรักษาทางการแพทย์ให้ดียิ่งขึ้น แม้การตั้งครรภ์ในวัยที่มากขึ้นจะมีความท้าทาย แต่ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการตรวจคัดกรองในปัจจุบันเปรียบเสมือนเข็มทิศที่ช่วยนำทางให้คุณแม่และแพทย์มองเห็นความเสี่ยงล่วงหน้า การตรวจคัดกรองไม่ได้มีไว้เพื่อให้เกิดความกังวล แต่มีไว้เพื่อให้เรา "รู้เท่าทัน" และ "ป้องกัน" ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น