ยาชูกำลัง เครื่องดื่มชูกำลังคืออะไร ช่วยบำรุงสุขภาพได้จริงหรือไม่หลายคนเชื่อว่า เครื่องดื่มชูกำลัง คือ เครื่องดื่มสำหรับเสริมสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย มีสรรพคุณเพิ่มความทนทานในการทำกิจกรรมต่างๆ และช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น
เนื่องจากเครื่องดื่มชนิดนี้มีคาเฟอีนเป็นส่วนผสมหลักและอาจประกอบด้วยสารสกัดจากกัวรานา กรดอะมิโน ทอรีน น้ำตาล และวิตามิน
แต่รู้หรือไม่ว่า เครื่องดื่มชนิดนี้ส่งผลให้ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว หายใจถี่ และอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้เช่นกัน
เครื่องดื่มชูกำลัง คืออะไร?
เครื่องดื่มชูกำลังคือ เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์กระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า และมีแรงทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น เครื่องดื่มชูกำลังส่วนมากประกอบด้วยคาเฟอีน น้ำตาล กรดอะมิโนทอรีน และอาจมีวิตามินบี
การบริโภคเครื่องดื่มชูกำลังจึงเป็นตัวเลือกของคนที่ต้องการพลังงานและสมาธิเพื่อจดจ่อในการทำงาน เช่น ผู้ใช้แรงงาน ผู้ที่ต้องทำงานข้ามคืน
อย่างไรก็ตาม เด็กและวัยรุ่นไม่ควรดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากมีส่วนประกอบที่อาจส่งผลให้ระดับความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
ส่วนผู้ใหญ่ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะหากได้รับคาเฟอีนมากเกินไปอาจส่งผลให้มีอาการวิตกกังวล อารมณ์เสีย ท้องปั่นป่วน ท้องร่วง และปวดศีรษะได้
นอกจากนี้สตรีมีครรภ์ไม่ควรบริโภคคาเฟอีนเกินวันละ 200 มิลลิกรัม เนื่องจากอาจเสี่ยงแท้งบุตรได้สูง และส่งผลต่อการนอนหลับของทารกในครรภ์และตัวคุณแม่ผู้ตั้งครรภ์เองด้วย
เมื่อดื่มเครื่องดื่มชูกำลังจะส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร?
เครื่องดื่มชูกำลังส่วนใหญ่จะประกอบด้วยคาเฟอีน น้ำตาล และสารกระตุ้นอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย ดังนี้
1. กระตุ้นการทำงานของสมอง
ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า เครื่องดื่มชูกำลังช่วยฟื้นฟูร่างกายจากอาการอ่อนล้า รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองในด้านต่างๆ เช่น ความจำ สมาธิ การตอบสนองต่อกิจกรรมต่างๆ
อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาวิจัยโดยการเก็บข้อมูลของนิสิตแพทย์ชั้นปีที่ 4 ปีการศึกษา 2557 ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พบว่า นิสิตแพทย์ที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนน้อย มีผลการเรียนดีกว่านิสิตแพทย์ที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนปริมาณมากอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
2. เพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
งานวิจัยที่ศึกษาสรรพคุณของเครื่องดื่มชูกำลังพบว่า ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังมีสมรรถภาพในการทำงานมากขึ้น รวมทั้งไม่ทำให้รู้สึกง่วงนอน แต่พบว่า แทบไม่มีผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
อย่างไรก็ตาม หลายคนมักมีปัญหาด้านการนอนหลับเมื่อถึงเวลาต้องพักผ่อน
3. ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพหลอดเลือดและหัวใจ
ผู้ที่ได้รับคาเฟอีนมากเกินไปอาจเสี่ยงเกิดปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง ใจสั่น โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพเหล่านี้อยู่แล้ว
อีกทั้งอาจเป็นอันตรายต่อพัฒนาการด้านระบบหัวใจและระบบประสาทของเด็ก
4. ก่อปัญหาเกี่ยวกับการนอน
เนื่องจากคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว จึงอาจส่งผลให้นอนหลับยากและพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ
5. ส่งผลต่อโรคเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น เนื่องจากเครื่องดื่มชูกำลังประกอบด้วยน้ำตาลปริมาณมาก
6. ทำให้อ้วนขึ้น หรือน้ำหนักขึ้น
เครื่องดื่มชูกำลังมีส่วนผสมเป็นน้ำตาลปริมาณมาก ส่งผลให้ผู้บริโภคได้รับพลังงานสูง มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และยังอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพช่องปาก เช่น ฟันผุ
ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังอย่างไรให้ปลอดภัย?
หากจะดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง ควรปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้ เพื่อไม่ให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
ดื่มเครื่องดื่มชูกำลังไม่เกินวันละประมาณ 450 มิลลิลิตร
เด็กและวัยรุ่นไม่ควรดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจากคาเฟอีนอาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการของหัวใจและสมอง
สตรีมีครรภ์ หรือผู้ที่ให้นมบุตรควรเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มชูกำลัง
ไม่ผสมเครื่องดื่มชูกำลังกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากเครื่องดื่มชูกำลังจะทำให้ตื่นตัวและเมาช้า ส่งผลให้ดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้น
เพิ่มพลังอย่างไรโดยไม่ต้องใช้เครื่องดื่มชูกำลัง
มีวิธีช่วยให้ร่างกายตื่นตัว กระปรี้กระเปร่าได้ โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องดื่มชูกำลัง ดังนี้
ดื่มน้ำเปล่าเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ร่างกาย โดยดื่ม 1 แก้วเมื่อตื่นนอน หลังรับประทานอาหาร และในช่วงก่อนและระหว่างออกกำลัง รวมทั้งหลังจากออกกำลังกาย
ออกกำลังกายอย่างเหมาะและสม่ำเสมอ พยายามเคลื่อนไหว หรือทำกิจกรรมที่ได้ขยับร่างกายอยู่เสมอ เพื่อให้รู้สึกสดชื่นและมีแรงทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการนอนดึก เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
รับประทานอาหารที่มีโปรตีน หรือคาร์โบไฮเดรต เช่น นม ผลไม้ ไข่ต้ม เนยถั่ว ในปริมาณที่เหมาะสมและสม่ำเสมอเนื่องจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตให้พลังงานและสร้างกล้ามเนื้อ
รับประทานผักผลไม้สด ถั่ว และโยเกิร์ต ในปริมาณที่เหมาะสมและสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ หรือปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานวิตามินเสริมในกรณีที่รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง