ในปี 1970 วิกฤตการใช้พลังงานเป็นเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจและน่ากังวลอย่างยิ่ง เนื่องจากเครื่องปรับอากาศในฤดูร้อนและฤดูหนาว มีการใช้พลังงานเพื่อการทำความร้อนหรือความเย็นสูง นักเศรษฐศาสตร์จึงหาทุกวิธีการเพื่อลดการใช้พลังงาน โดยการการหมุนเวียนพลังงาน วนกลับมาใช้ซ้ำอีกครั้ง หลักการนี้ จึงได้รับความนิยมมากในช่วงเวลานั้น
ในขณะที่การประหยัดพลังกำลังเกิดขึ้น นักออกแบบอาคารได้ออกแบบอาคารใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการปิดผนึกจุดรั่วอื่นๆ ปิดผนึกหน้าต่างและประตูได้ดีขึ้น และ ส่งผลให้ปริมาณการแทรกซึมอากาศจากภายนอกลดลง ซึ่ง คือการที่อากาศภายนอกส่วนใหญ่เข้าสู่อาคารเหล่านี้ลดลง ดูเหมือนจะทำให้อาคารมีประสิทธิภาพดีขึ้น เนื่องจากต้นทุนค่าไฟฟ้าในการทำความร้อนและความเย็นลดลง(ค่าไฟลดลง)
อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากอาคารไม่มีรอยรั่วแล้วต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลง อีกด้านหนึ่งของ อุตสาหกรรม HVAC เริ่มสังเกตเห็น แนวโน้มในอาคารที่เป็นสุญญากาศเหล่านี้ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้านี้ มีผู้อยู่อาศัยบ่นว่า รู้สึกปวดหัวและคลื่นไส้ เนื่องจากการปิดช่องรับอากาศภายนอกและปิดผนึกอาคารส่งผลให้มีปริมาณอากาศจากภายนอกเพื่อเจือจางการปนเปื้อนในอาคารไม่เพียงพอ สิ่งนี้จึงนำไปสู่โรคอาคารป่วย และข้อร้องเรียนด้านคุณภาพอากาศภายในอาคารอื่นๆ ตามมา
ทำไม? การเติมอากาศ จึงสำคัญต่อคุณภาพอากาศภายในอาคาร
คนส่วนใหญ่จึงเห็นตรงกันว่า “หัวใจสำคัญของการลดมลพิษในอาคาร คือการเจือจาง” จึงเป็นบทสรุปที่ดีที่เราต้องให้ความสำคัญของการเติมอากาศภายนอกที่สดชื่นเข้าสู่อาคารอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเราคงจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าคุณภาพอากาศในอาคารไม่จำเป็นมากกพอที่จะลงทุนให้ความสำคัญ แต่หากเราพิจารณาผลกระทบจาก CO2 กลิ่น สารเคมีจากเครื่องถ่ายเอกสาร และน้ำยาทำความสะอาด และยังมีสิ่งอื่นๆ อีก สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่เมื่อเป็นสารเดี่ยว ๆ จะไม่ทำให้คนป่วยในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการสะสมมากขึ้นเนื่องจากการปิดอาคารให้เป็นพื้นที่อับอากาศ คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในอาคารเพื่อทำงานต่อเนื่องบางสถานที่ มีการใช้เวลาทำงานถึง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยทั่วไป สารประกอบเหล่านี้มีความสามารถ ทำให้ผู้อยู่อาศัยเหนื่อยง่าย รู้สึกคลื่นไส้ จนร่างการไม่แข็งแรง ในที่สุดอากาศที่ปนเปื้อนเหล่านี้สามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมโทรมลง และทำให้เป็นผู้ป่วยได้ในที่สุด
วิธีที่ดีที่สุดในการลดส่วนประกอบของอากาศเสียเหล่านี้คือการเจือจางการปนเปื้อนเหล่านี้ด้วยอากาศบริสุทธิ์ที่เพียงพอ แต่นี่อาจจะไม่ได้กำจัดสิ่งปนเปื้อนในอากาศออกไปได้หมด แต่จะทำให้อากาศที่ปนเปื้อนนี้ อยู่ในระดับต่ำลง ต่ำลงมากพอที่จะไม่มีผลกระทบกับผู้อยู่อาศัย ทุกวันนี้ เครื่องปรับอากาศแบบประหยัดพลังงานก็ยังคงมีอยู่ แต่พวกมันได้ถูกพัฒนาให้หมุนเวียนอากาศได้มากขึ้นและยังมีการออกแบบให้มีระบบเติมอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกอาคาร
เปอร์เซ็นต์อากาศภายนอกอาคาร %OA
เปอร์เซ็นต์อากาศภายนอกอาคาร คือ %OA ของปริมาณอากาศ ภายนอกอาคารที่ส่งเข้ามาในระบบทั้งหมด วิธีการวัด %OA มีมากกว่าหนึ่งวิธี เช่นวิธีที่หนึ่งคือการใช้ก๊าซพ่นเข้าตามรอยต่อของท่อส่งลม(ท่อดัก เช่น ก๊าซ SF6) โดยดูจากความเข้มข้นที่ก๊าซนี้เพิ่มขึ้นหรือลดลง เทียบกับเวลา จึงสามารถใช้สิ่งนี้ เป็นข้อมูลหนึ่งที่สามารถหาได้ว่า %OA มีค่าเท่าใด หรืออีกวิธีคือการใช้ระดับความเข้มข้นของ CO2 แนะนำว่าจะได้ผลการวัดที่แม่นยำ เมื่อความเข้มข้นระหว่างในอาคารและนอกอาคารมีความแตกต่างที่สูงพอ
บางครั้งตัวเลือกที่ดีกว่าทั้งหมดจากด้านบน คือการอ่านค่าความเข้มข้นของ CO2 จากจุดวัดสามจุด แล้วนำไปคำนวณตามสมการที่แนะนำด้านล่าง แนะนำว่าจุดหรือตำแหน่งในการวัดเพื่อให้ได้ค่าที่แม่นยำ ของตำแหน่งทั้งสาม ได้แก่ จุดที่1. จุดดึงอากาศภายนอกเข้าอาคาร จุดที่2. จุดที่ AHU จ่ายอากาศออก และจุดที่ 3. จุดที่อากาศไหลกลับเข้า AHU ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือใช้ การอ่านค่าอุณหภูมิที่ตำแหน่งเดียวกันกับทั้งสามจุดข้างต้น และใช้สมการที่คล้ายคลึงกัน
บริหารจัดการอาคาร: วิธีการหาปริมาตรอากาศที่เหมาะสมในการเติมอากาศ อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://snss.co.th/dt_post/technical-services/